ผิวกระจก (Glass Skin) คืออะไร? เปิดวิธีทำให้ผิวสวยฉ่ำวาว แบบเกาหลี
ถือเป็นเทรนด์ความงามที่กำลังนิยมเป็นอย่างมากกับการดูแลผิวให้สวยใสแบบ Glass Skin แต่เชื่อว่าก็คงมีใครหลายๆ คนที่เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ผิว Glass Skin คืออะไร และต้องมีการดูแลตัวเองอย่างไรบ้างถึงจะสามารถมีผิวแบบ Glass Skin ได้ ในบทความนี้เราได้รวบรวมวิธีการดูแลผิวให้สวยแบบ Glass Skin มาให้แล้วทั้งแบบวิธีการดูแลด้วยตนเองและหัตถการทางการแพทย์
Glass Skin คืออะไร?
Glass Skin (กลาส-สกิน) ถือเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ความงามในการบำรุง ดูแลและการแต่หน้าเพื่อให้ผิวมีความกระจ่างใส รูขุมขนกระชับเรียบเนียน ผิวมีความชุ่มชื้นฉ่ำวาว ไม่มีสิว รอยสิว รอยแผลเป็น รวมไปถึงปัญหาฝ้ากระ จุดด่างดำ รวมไปถึงริ้วรอยร่องลึกต่างๆ เรียกว่าเป็นผิวที่สวยสุขภาพดีจนทำให้ผิวมีความประกายเหมือนกับแก้วที่มีความใสนั่นเอง
ความเป็นมาของ Glass Skin เริ่มมาจากไหน
ผิวแบบ Glass Skin ถือเป็นเทรนด์ความงามที่ได้รับอิทธิพลมาจาก Korean Skincare ของประเทศเกาหลีใต้ ที่มักนิยมในการแต่งหน้าและบำรุงให้ผิวมีความใสฉ่ำวาว เล่นกับแสงที่จะมาตกกระทบผิวนั่นเอง ซึ่งผิวในลักษณะนี้จะทำให้ดูเป็นผิวที่มีสุขภาพดีและผ่านการดูแลผิวมาอย่างพิถีพิถันนั่นเอง
วิธีทำผิวแบบ Glass Skin มีอะไรบ้าง
ในปัจจุบันการทำผิวให้มีความ Glass Skin นั้นสามารถทำได้ 2 แบบคือการบำรุงผิวให้ผิวมีความสุขภาพดีจากภายใน หรืออีกวิธีก็คือการแต่งหน้านั่นเอง ซึ่งทั้งสองวีนั้นสามารถทำแบบควบคู่กันไปได้แต่โดยส่วนใหญ่แล้วสาวๆ มักจะเลือกการบำรุงและดูแลผิวมากกว่า เพราะเมื่อเรามีผิวที่สวยใสสุขภาพดีจากภายในแล้ว เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเสียเวลาในการแต่งหน้าอีก
ทำผิวแบบ Glass Skin ด้วยตนเอง
ต่อไปเรามาดูกับบ้างว่าวิธีการทำผิวสวยแบบ Glass Skin ด้วยตนเองนั้นจะมีวิธีไหนบ้างและแต่ละวิธีนั้นควรจะมีความใส่ใจกับจุดไหนเป็นพิเศษ
- ล้างหน้าให้สะอาด
ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญและจำเป็นอย่างมาก เพราะแน่นอนว่าในแต่ละวันผิวของเราต้องเผชิญกับฝุ่น ควัน และมลพิษต่างๆ มากมายซึ่งเป็นตัวการหลักในการทำร้ายผิว และในบางคนที่ไม่ได้มีการแต่งหน้าก็มักจะคิดว่าเป็นขั้นตอนที่ไม่สำคัญ ถือเป็นความคิดที่ผิดมากๆ ดังนั้นจึงควรทำการล้างหน้าแบบ 2 สเต็ปดังนี้
Step 1 : เช็ดเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกออกด้วยคลีนซิ่ง (Cleansing)
ที่ในปัจจุบันมีทั้งแบบน้ำที่ต้องใช้คู่กับสำลี แบบออยล์ และแบบโลชั่น โดยควรเลือกสูตรที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคน
Step 2 : ล้างทำความสะอาดผิวอีกรอบด้วยคลีนเซอร์ (Cleanser)
เช่นกันว่าการเลือกคลีนเซอร์นั้นก็ต้องคำนึงถึงสภาพผิวของเราด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้การแพ้ ระคายเคืองหรือสิวบุกนั่นเองโดยมีวิธีเลือกดังนี้
- ผิวแห้ง : เลือกที่มีส่วนผสมช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นอย่าง cream-based cleanser, milk-based cleanser, Lanolin, Mineral Oil และ Petroleum Jelly
- ผิวมัน : เลือกที่มีส่วนผสมของ กรดซาลิไซลิก (BHA), กรดไกลโคลิก (AHA) และ เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide)
- ผิวผสม : ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนสามารถกำจัดน้ำมันส่วนเกินและเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แต่ควรเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ น้ำหอม, พาราเบน และแอลกอฮอล์เป็นต้น
- ทาครีมบำรุงเป็นประจำ
ถือเป็นขั้นตอนการบำรุงผิวที่มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งควรมีความใส่ใจและพิถีพิถันเป็นพิเศษและควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองอีกด้วย แต่ก็มีอีกสิ่งที่ทำให้หลายๆ คนเข้าใจผิวเกี่ยวกับการบำรุงผิวนั่นก็คือการใช้ผลิตภัณฑ์หลายตัวร่วมกันมากเกินไป ซึ่งเสี่ยงต่ออาการผิวพังได้ง่ายมากๆ ดังนั้นให้จำไว้เลยว่ายิ่งใช้น้อยยิ่งดีต่อผิว
ตัวอย่างขั้นตอนสกินแคร์รูทีนที่ดี
- น้ำตบหรือโทนเนอร์
- เซรั่มหรือครีมที่เหมาะกับสภาพผิวเช่น BHA กับผิวเป็นสิว หรือ Retinal-A กับผิวมีริ้วรอย
- มอยเจอร์ไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้น
- ครีมกันแดด (ในช่วงเช้า)
- มาสก์หน้า
ขั้นตอนการมาสก์หน้าก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการกู้ผิวได้ดีมากๆ เพราะในตัวมาสก์จะอุดมไปด้วยสารต่างๆ ที่จำเป็นต่อผิว ซึ่งควรมาสก์ขั้นต่ำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งหรือมากกว่าก็ย่อมได้ และข้อสำคัญในการมาสก์หน้าไม่ควรมาสก์เกินเวลาที่ระบุไว้ข้างซองอย่างเด็ดขาดเพราะหากเลยแผ่นมาสก์จะทำการดึงความชุ่มชื้นออกมาจากผิวเรานั่นเอง
- สครับผิว
เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการผลัดเอาเซลล์ผิวและสิ่งสกปรกตกค้างออกจากผิว เพราะแน่นอนว่าร่างกายของเราได้มีวงจรการผลัดเซลล์ผิว (Skin Cell Turnover) ที่จะช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่ตายแล้วให้หลุดออกไปเป็นขี้ไคลและสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน ซึ่งการสครับผิวนั้นจะช่วยทำให้วงจรการผลัดเซลล์ผิวเป็นไปได้ง่ายขึ้นและมีข้อดีต่างๆ ดังนี้
- ช่วยลดสาเหตุการเกิดผิว
- ช่วยปรับผิวให้มีความกระจ่างใสขึ้น
- ช่วยให้ครีมและสกินแคร์สามารถซึมลงสู่ผิวได้ง่ายมากขึ้น
- ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน
- ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
- การแต่งหน้า
ถือเป็นวิธีแก้ปัญหาแบบปลายเหตุที่สามารถเห็นผลได้แบบทันที ซึ่งวิธีนี้จะต้องเลือกใช้พวกรองพื้น คุชชั่นสูตร Hydrating หรือ Dewy ที่จะช่วยเพิ่มความฉ่ำวาวให้แก่ผิว รวมไปถึงการใช้เทคนิคในการเฉดดิ่งและปัดไฮไลท์ก็ช่วยสร้างผิวแบบ Glass Skin ได้เช่นกัน
- งดพฤติกรรมในการทำลายผิว
แน่นอนว่าถ้าอยากมีผิวสวยสุขภาพดีแบบ Glass Skin ก็ต้องงด ละ เลิกพฤติกรรมต่างที่เป็นปัจจัยสำคัญในการทำร้ายผิวตามรายละเอียดด้านล่างนี้
- งดการอดนอน นอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือความเครียด เพราะจะทำให้ผิวเกิดความเสื่อมโทรม ทำให้หน้าแก่ได้ไวขึ้น
- งดสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ รวมไปถึงคาเฟอีน ที่มีสารในการทำให้เซลล์ผิวเกิดความเสื่อมโทรม
- เลี่ยงการเผชิญกับแสงไม่ว่าจะเป็น แสงไฟ แสงแดด หรือแสง Blue Light จากจอมือถือ แต่ข้อนี้การทาครีมกันแดดช่วยได้
- งดการไม่รักษาความสะอาด ไม่ว่าจะเป็นการล้างหน้ารวมไปถึงเสื้อผ้า ปลอกหมอน แปรงและพัฟแต่งหน้า เพื่อลดโอกาสการเกิดสิวขึ้นได้
ซึ่งในการดูแลผิวด้วยตนเองนั้นข้อสำคัญหลักๆ เลยก็คือความสม่ำเสมอในการทำ เพราะแน่นอนว่าการจะมีผิวที่สวยสุขภาพดีนั้นจะต้องใช้ระยะเวลาในการเห็นผลโดยบางคนอาจจะเห็นภายใน 1-3 เดือนหรือบางคนอาจจะมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับสภาพผิวที่เรามีนั่นเอง
ทำผิวแบบ Glass Skin ที่คลินิกความงาม
หลังจากที่ดูวิธีการทำให้ผิวสวยแบบ Glass Skin ด้วยตนเองไปแล้ว ต่อไปเรามาดูกันบ้างว่าในปัจจุบันมีหัตถการทางการแพทย์แบบไหนบ้างที่สามารถช่วยเสกผิวให้สวยแบบ Glass Skin ได้อย่างเร่งด่วนและเห็นผลจริง
ขอขอบคุณบทความดีๆจาก gangnamconsult